ผมจั่วหัวเรื่องว่า "ตามรอย น้อย อินทนนท์" ให้มันดูตื่นเต้นไปอย่างนั้นเอง ความจริงไม่ได้ตามรอยอะไรหรอก เพราะไม่ได้บุกบั่นถึงขั้นนั้น ก็แค่ไปในป่าเคยนำมาเป็นฉาก
ในนิยายเท่านั้น ที่ถ้าใครเคยอ่านหนังสือประเภทผจญไพรในป่า ชุดล่องไพร ของน้อย อินทนนท์ก็คงจะพอจำได้เพราะท่านจะพูดถึงป่าแม่วงก์(เขียน วงก์ อย่างนี้จริง ๆ )
อยู่เป็นประจำ ป่าแม่วงก์มีพื้นที่กว้างใหญ่ติด อช.คลองลาน ป่าอุ้มผาง และห้วยขาแข้ง อุดมสมบูรณ์มาก ๆ ทั้งพืชพันธุ์ และสัตว์ป่า มียอดเขาโมโกจู ที่กว่าจะขึ้นไปถึงได้
ต้องใช้เวลาหลายวัน อีกทั้งเส้นทางก็ลำบากสุด ๆ ร่างกายต้องเต็มร้อย คนชอบเที่ยวป่าทุกคนใฝ่ฝันที่จะขึ้นไปให้ถึงสักครั้ง....อันที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
หรอก แต่บังเอิญคืนก่อนที่จะเริ่มเขียน ผมไปค้นรูปเก่า ๆ เพื่อหารูปเฟิน และก็ไปเจอรูปสมัยที่ไปแม่วงศ์เมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว กลัวว่าสักวันความทรงจำมันจะเลือนลางไป
ก็เลยเรียบเรียงขึ้นมาว่าได้พบเจออะไรบ้าง โดยเฉพาะการได้เห็นเฟินที่นั่น "ป่าแม่วงก์" นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เที่ยวในป่าที่อยู่ในจังหวัดบ้านเกิดของผมเอง
เรา 4 คน (ผม อ้อย เปีย เปิ้ล) ออกเดินทางจากบ้านกันแต่เช้า มีพรรคพวกรออยู่สุพรรณบุรีอีก 4 (หน่อง เล็ก เอ๋  อุ๊) รวมเป็น 8 คน กำลังพอดี(มือใหม่กันทั้งนั้น) พอเจอกันก็ตะลึงเลยครับ เอ๋แต่งตัวครบชุดพร้อมลุยประมาณว่า ม.ร.ว.ดาริน (แฟนของระพิน ในเพชรพระอุมา) ผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวก็รู้....คณะของเราถึงคลองลาน ประมาณบ่ายโมง แวะหาเสบียงเพิ่มเติมให้พอกับ 2 คืน 3 วัน ในแม่วงก์ .....ถึงที่ทำการ อช.แม่วงก์ แจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่เสร็จก็ไป "แก่งผาคอยนาง" (งานนี้ผู้ชายคอยผู้หญิง) กันเลย สภาพถนนต่อจากนี้ไปเป็นทางลูกรังตลอด ไม่โหดมากนัก แก่งผาคอยนางอยู่ห่างที่ทำการ อช. 500 เมตร แต่คณะของเราเลยไปถึง 10 ก.ม. กว่าจะย้อนกลับมาที่แก่งได้ก็ปาเข้าไปถึง 4 โมงเย็น ช่วงนี้มีหวาดเสียวนิดหน่อยรถเกือบตกเขา ...เห็นแก่งนางคอยแล้วประทับใจจริง ๆ พื้นที่เหมาะแคมป์ปิ้งอย่างมาก มีลำธารจากน้ำตกแก่งคอยนางไหลผ่าน มีลานหินข้างลำธารกว้างหลาย 10 ตารางเมตร
จัดแจงกางเต๊นท์กันเสร็จฝนก็ตั้งเค้าทำท่าจะตก มันก็ธรรมดาครับเพราะช่วงที่ผมไปเดือนพฤษภาคม เห็นท่าไม่ดีผมเลยต้องรีบหุงข้าวโดยปล่อยให้คนอื่นเล่นน้ำกันไป
ก่อน....ช่วงหุงข้าวก็สอดส่ายสายตามองรอบ ๆ เผื่อว่าจะเจอเฟินบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ชายผ้าสีดาอีสาน อยู่บนยอดไม้สูง 50 เมตรเห็นจะได้ แถมยังมี เฟินริบบิ้น
( Ophioglossum costatum) ห้อยย้อยลงมาอีก   ถึงจะเห็นที่ระยะไกล ๆ   แต่ก็รู้สึกชื่นใจจริง ๆ .......หุงข้าวเสร็จ-เก็บของเตรียมหลบฝนเรียบร้อย ฝนก็เทลงมา พรรคพวกบางคนก็อาบน้ำเสร็จพอดี ผมเลยถือโอกาสอาบน้ำในลำธารกลางสายฝนซะเลย.....กว่าจะล้างคราบเหงื่อไคลเสร็จใกล้ค่ำพอดี วันนี้เมฆมาก-ฝนตกทำให้มืดเร็วกว่าปกติ มองมาทางเต๊นท์ทุกคนยังอยู่ครบ.......พอสักครู่ผมขึ้นมาจากลำธารพรรคพวก 4 คนกำลังจะขอตัวไปนอนที่สบาย ๆ บนบ้านพักของ อช. 4 สอบถามกันแล้วได้ความว่าทั้ง 4 คน (หน่อง เล็ก เอ๋ อุ๊) รับไม่ได้กับความมืดครึ้ม เฉอะแฉะ ไม่สะดวกสบายหลังฝนตก...ไม่ว่ากันครับของแบบนี้ชอบใครชอบมัน......ทีนี้พวกผมก็เหลือกันอยู่แค่ 4 คน เป็นผู้หญิงซะ 3   ผู้ชายเหลืออยู่คนเดี๋ยวกับผมที่แหละ ผมเลยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าที่เหลือจะตามไปมั้ย ทุกคนบอกว่าอยู่ต่อครับแน่นอน   เยี่ยม!ครับ มาเที่ยวป่าก็ต้องนอนในป่า ใกล้น้ำถึงจะได้บรรยากาศ.......เราทั้ง 4 คนจัดการกับอาหารเย็นได้ทันก่อนค่ำ ผมกะว่าจะเดินสำรวจรอบ ๆ ซะหน่อยแต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะใกล้ค่ำแล้วเป็นเวลาที่สัตว์เลื้อยคลานออกหากินพอดี

ประมาณ 2 ทุ่ม ฟ้าเปิดแสงจันทร์สาดส่องสวยงามจริง ๆ พวกเรายกขบวนไปนั่งจิบกาแฟ กินบรรยากาศที่ลานหินที่กว้างใหญ่ข้างลำธาร....นั่งคุยกันจนดึก ความคิกแรกกะว่าคืนนี้จะนอนชมจันทร์กันที่ลานหินทั้งคืน เพราะบรรยากาศแบบนี้หายากเหลือเกิน แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะกลัวว่าเจ้าสัตว์เลื้อยคลานจะมาขอซุกไออุ่นด้วย........ยกขบวนกลับไปนอนที่เต๊นท์
ตื่นกันแต่เช้าผมไม่อยากจะเสียเวลามาก กินกาแฟเสร็จ แล้วเดินทวนลำธารของแก่งคอยนางขึ้นไป ข้างลำธารพบเปราะภูมากมายกำลังออกดอกสะพรั่ง ตามต้นไม้ และโขดหินที่มีมอสก็มีเฟินจำพวก Pyrrosia, เจ้างูเขียวเล็ก ,เกาะอยู่เต็มไปหมดที่คบไม้ก็ไม่น้อยหน้ามี เฟินกระแตไต่ไม้ใบใหญ่ และ ใบเล็ก ให้เห็นเป็นระยะ เดินสักพักก็ถึงน้ำตกผาคอยนาง เป็นน้ำตกเล็ก ๆ แต่แอ่งน้ำจะลึก อันตรายที่จะลงเล่น โขดหินใกล้ ๆ น้ำตกม ี เฟินนาคราชใบละเอียด ขึ้นอยู่เป็นกลุ่มใหญ่มาก ผมเดินเข้าไปใกล้ ๆ ปรากฎว่าเฟินกลุ่มนี้มีเจ้าของครับ เจ้ามดแดงออกมาสกัดผมทันที..โดดหนีซิครับ ที่น้ำตกนี่แหละครับผมก็ได้เห็น ชายผ้าสีดาอีสาน และ เฟินริบบิ้น ถ้อยที่ถ้อยอาศัยอยู่ร่วมกันอีกครั้ง คนละต้นกับต้นแรกที่เห็นเมื่อวาน
  เมื่อชมความงามของน้ำตกเสร็จก็จัดแจงเก็บเต๊นท์ เพื่อขึ้น "ช่องเย็น" ต่อไป ก่อนอื่นพวกเราก็แวะไป
ไถ่ถามเพื่อน ๆ ที่พักในบ้านพัก อช.ก่อนว่าจะไปกันต่อมั้ย ปรากฎว่าทุกคนขอถอนตัวครับ...อันที่จริงเรา
น่าจะแนะนำว่าก่อนจะมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ควรไปหัดเหยีบบขี้ไก่ให้ฝ่อซะก่อนแล้วค่อยมากัน....เหลือกัน
4 คนเหมือนเดิม .....เดินทางกันต่อครับสภาพถนนเป็นลูกรังที่ไม่โหด ขับไปชมทิวทัศน์ไปไม่รีบร้อน แต่
ก็ต้องระวังพอสมควรเพราะเส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ สภาพป่าสองข้างทางเป็นป่าเบญจพรรณ สลับกับ
ภูเขาหัวโล้น ผมเห็น
โชน พัดตามลมเหมือนกับทุ่งหญ้าที่พริ้วไหว เราเริ่มไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
สภาพป่าเริ่มเป็นป่าดงดิบ บรรยากาศรอบก็ตัวเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ มีเมฆคลอเคลียอยู่ยอดเขา บางครั้งเราก
็ขับรถเข้าไปในก้อนเมฆที่เราเห็นตอนที่อยู่บนเขาอีกลูกหนึ่ง เย็นครับ เย็นฉ่ำจริง ๆ
ช่วงนี้ได้พบเห็นพวก ชายผ้าสีดาอีสาน , กูดเวียน-กูดอ้อม , เจ้างูเขียวเล็ก และพวกกล้วยไม้ป่าต่าง ๆ   ...ถึง ก.ม.81 เราพักชมทิวทัศน์กัน ลมกรรโชกแรงพัดเอาไอน้ำมาด้วย   เสียงนกเจื้อยแจ้วดังไปทั่วหุบเขา...สักครู่เราออกเดินทางต่อ ที่ริมหน้าผาดินมีพวกสามร้อยยอด , กูดดอย ต้นใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้วเห็นจะได้ สูงประมาณแค่อก ผมก็ได้แต่ลูบคลำด้วยความอยากได้....ใกล้ถึงช่องเย็นเข้าไปทุกทีอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ตามต้นไม้มีพวกฝอยลมเกาะอยู่พอที่จะทำให้ทราบได้เลยว่าที่นี่มีอากาศเย็นตลอดปี .....เราถึง"ช่องเย็น" ประมาณบ่าย 2 โมงเห็นจะได้ เสียงลมพัดหวีดหวิว อากาศเย็นสมชื่อจริง ๆ เพราะตรงนี้อยู่ระหว่างแนวเขาที่ทอดยาว ลมเลยพัดเข้ามาตามช่องที่เรายืนอยู่หลบตรงไหนก็ไม่พ้น นอกจากป่าที่สมบูรณ์ ความหนาวเย็นของช่องเย็น อีกอย่างนึงที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ "ตัวคุ่น" ลักษณะ
เป็นแมลงเล็ก ๆ คล้ายแมลงวันแต่ตัวเล็กกว่า พิษสงเหลือร้ายครับ เวลากัดเราและมันถอนตัวออกผิวหนังของคนที่โดนกันจะเป็นรูเลือดไหลทันที แล้วก็จะคันไปนานมาก พวกเราโดนกันทั่วถึงทุกคน

กางเต๊นท์กันเสร็จเราก็ไปเดินเล่นกันตามเส้นทางที่ไปน้ำตกนางนวลเป็นการอุ่นเครื่อง....เดินไปได้จากจุดกางเต๊นท์ประมาณ 50 เมตร เราก็ไปเจอกับ "พังพอน" ไม่เหมือนกับพังพอนทั่วไปคือมันเป็นสีขาวทั้งตัว กำลังยืนเอาล่อ เอาเถิด กับอะไรสักอย่างที่กอหญ้ากลางทางสูงประมาณ 1 ฝ่ามือ ในใจก็คิดอยู่แล้วครับว่าพังพอนต้องคู่กับงู แต่อีกความคิดนึงก็จำได้ว่าเคยอย่างในหนังสือเค้าบอกว่าพังพอนไม่ได้กินงูอย่างเดียวอย่างอื่นก็กินได้ ผมเลยคิดในทางที่ดีไว้ก่อนว่าไม่ใช่งู...พวกเรายืนเจ้าพังพอนดูประมาณครึ่งนาที มันหันมาเห็นเราก็ตกใจหนีไป มันเป็นครึ่งนาทีที่ประทับใจที่ได้เห็นสัตว์ป่าอยู่ในธรรมชาติอย่างไม่ได้ตั้งใจ พอเจ้าพังพอนหนีไปเรารอดูสักพักว่าเจ้าสัตว์ที่อยู่ตรงพุ่มหญ้ามันคืออะไร...แต่ก็เงียบไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ทุกคนทนรอไม่ไหว ยุให้ผมซึ่งเป็นผู้ชายคนเดียวเดินเข้าไปดู...ผมเดินไปได้ประมาณสัก 10 เมตร สิ่งที่ผมเห็นข้างหน้าทำเอาเย็นหวาบไปทั้งตัว งู! ครับ งู ที่ลำตัวสีเทาออกไปทางดำ ขนาดประมาณเท่าลำแขนผู้ชาย ชูคอสีเหลือง สูงจากพื้นประมาณสักครึ่งศอก "งูจงอาง" ...ผมนิ่งดูชั่วอึดใจ...เผ่น! ซิครับ ผมวิ่งหน้าตื่นกลับมา ทุกคนก็วิ่งตามทั้ง ๆ ที่ไม่ทราบว่าผมเจออะไร พอเหลียวหลังไปดูไม่เห็นมีอะไรตามมาทุกคนก็หยุด แล้วก็เห็นเจ้างูจงอางตัวนั้นเลื้อยข้ามทางลงสู่หุบลึกหายไป ....ไม่เอาแล้วครับทุกคนพร้อมใจกันเปลี่ยนแผนไปเดินดูต้นไม้ตรงช่วงทางขึ้นช่องเย็นกัน...
ที่ช่องเย็นนี่ผมบอกได้เลยว่าเป็นสวรรค์ของเฟิน-กล้วยไม้ป่า อย่างแท้จริง ตามต้นไม้ หน้าผาหิน พื้นดินมีเฟิน-กล้วยไม้ป่าอยู่เกือบทุกที่ ๆ ส อดสายตาไป ... กูดอ้อม ที่นี่มีทั้งที่บนหิน และขึ้นตามต้นไม้ ที่ปลายกิ่งไม้ก็มีเจ้า นาคราชใบละเอียด เกาะให้เห็นอยู่บ้าง ตามก้อนหินที่อยู่ข้างทางเดินบางครั้งก็เห็น นาคราชตัวเมีย   ขึ้นอยู่ปะปนกับมอส... เฟินชาไก่ และ เฟินลิ้นกุรัม   มีให้เห็นตามหน้าผาทั่วบริเวณนั้นดาดดื่นตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุดขึ้นแทรกอยู่กับกล้วยไม้ป่าที่ผมพอจะทราบชื่อก็มี กล้วยไม้ดินที่ชื่อ ช้างงาเดียว เอื้องต่อ สิงโตกรอกตา ฯลฯ   ที่ผมเห็นและแปลกใจมาก คือเฟินที่มีลักษณะเหมือนกับเฟิน เจ้างูเขียวใหญ ทั้งใบ และอัปสปอร์ แต่ที่นี่ใบเล็กกว่าที่เห็นที่อื่นอย่างมาก สีเขียวคล้ำ ยาวแค่ประมาณ 5 ซ.ม. กว้าง 0.5 ซ.ม. และอีกต้นเป็นเฟินดินลักษณะเหมือนเฟินกูดห้วย แต่มีขนสีขาวปกคลุมด้วยไม่ทราบว่าเป็นเพราะอากาศหนาวหรือเปล่าเลยสร้างสิ่งที่ปกกันตัวเองขึ้นมา นอกจากนี้ตามหน้าผาที่มีร่องโดนตัดเพื่อทำถนนก็มีพวก โชน ขึ้นอยู่เป็นดง....ดูเฟินกันจนเย็นย่ำ ฉ่ำใจ นก-กาเริ่มบินกลับรัง พวกเราก็เลยกลับเต๊นท์
...ค่ำลง ลมก็ยิ่งแรง บางครั้งก็หอบไอน้ำ แสงจันทร์ผลุบโผล ยิ่งดึกยิ่งหนาว แถมยังต้องผจญกับตัวคุ่นอีกเลยเข้าเต็นท์นอนซะเลย.....ผมตื่นขึ้นมากลางดึกประมาณตี 4 ฟ้าเปิดโล่ง พระจันทร์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ก็พบกับภาพบนท้องฟ้าที่แสนประทับใจ ทางช้างเผือกที่สุกสว่างอย่างที่แทบไม่เคยเห็นมาก่อน ภาพเหมือนกับสมัยที่ผมเคยเห็นตอนเด็ก ๆ ครั้งที่ยังไม่มีแสงไฟฟ้าสว่างเรืองรองบดบังความงามบนท้องฟ้าอย่างในปัจจุบัน ในช่วงที่ผมยืนชมความงามบนท้องฟ้าดาวตกก็มีให้เห็นตลอดเวลาหลายดวง ไม่ต้องแหงนคอคอยนับให้เมื่อยเหมือนปรากฎการณ์ฝนดาวตกที่ผ่านมา...ผมทนอากาศที่หนาวได้ไม่นานก็เข้านอนต่อ......หลับฝันดี...         เช้าวันนี้เราจัดการกับอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ท่ามกลางเมฆหมอกที่คลอเคลียยอดเขารอบ ๆ ตัวเรา ก่อนเดินทางกลับวันนี้เราจะเดินชมธรรมชาติบริเวณนั้น ซึ่งมีให้เลือก 2 เส้นทาง เส้นทางแรกเป็นเส้นทางแบบวนรอบกลับมาที่เดิม ระยะทางไม่มากนัก แต่เป็นทางชันที่ตัดผ่านป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยทาก เราเดินได้ระยะทางไม่ไกลก็เปลี่ยนใจเพราะเบื่อที่ต้องมาคอยแกะทาก......พวกเราย้อนกลับไปเส้นทางไปน้ำตกนางนวล ที่เราเจอพังพอนเผือก-งูจงอาจเมื่อวาน...ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา (อันที่จริงเราอาจกำลังอยู่ในก้อนเมฆก็ได้) แต่พวกเราก็มีความตั้งใจที่จะเดินกันต่อไป ในช่วงประมาณ 1.5  ก.ม. แรก สภาพป่าเป็นป่าเบญจพรรณ เฟินที่เห็นตามต้นไม้ก็เป็นพวก กระแตไต่ไม,้ กระปรอกเล็ก   ขึ้นรวมอยูกับพวกกล้วยไม้ ช่วงหลังจาก 1.5 ก.ม. สภาพป่าเริ่มเป็นป่าดงดิบ ทางเดินเริ่มมืดครึ้ม ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ในป่าข้างทางตลอดเวลา บริเวณนี้ผมพบ เฟินอ้ายหัวเป็ด ประมาณ 10 ต้น มีทั้งเล็ก-ใหญ่ อยู่รวม ๆ กัน ...เมื่อเดินผ่านที่ใบได้ทับถมชื้นแฉะเจ้าทากน้อยเริ่มรบกวนพวกเรา   เดินเร็วขึ้นบางครั้งก็วิ่ง เสียงวิ่งของพวกเราทำให้เจ้าไก่ป่าแตกกระเจิง เลยได้เห็นตัวกับแค่ แว๊บ ๆ ...เดินได้ระยะประมาณ 3 ก.ม. ก็สมควรแก่เวลาที่เราต้องกลับกันซะที ขากลับพวกเราทั้งเดินเร็ว ทั้งวิ่ง หยุดเมื่อไหร่ทากเกาะทันที กว่าจะพ้นมาได้เล่นเอาหอบซี่โครงบาน ถึงช่องเย็นก็นั่งพักสำรวจตัวเองว่ามีเจ้าทากน้อยแอบแฝงมาบ้างหรือเปล่า    บ่ายโมงเราลงจากช่องเย็น ผมอาลัยเหมือนทุกที่  ๆ ผมจากมา...(หลังจากกลับจากแม่วงก์ได้ไม่นานผมก็ได้ข่าวว่าจะมีการตัดถนนผ่านช่องเย็น ผ่านป่าแม่วงก์อันสมบูรณ์ ไปทะลุที่อุ้มผางเพื่อย่นระยะทาง-เวลาในการเดินทางไปอุ้มผาง เคร้าใจ! ครับ ...ถนนมาป่าหมด)
  ขาลงเราแวะอาบน้ำที่แก่งผาคอยนางเป็นการสั่งลา จากนั้นก็แวะกินข้าวกลางวันที่ทำการ อช. เจ้าหน้าที่บอกว่าเพื่อนทั้ง 4 ของเราคอยเราจนถึง 5 โมงเช้า แต่รอไม่ไหวเลยกลับก่อน (คงรีบกลับไปหัดเหยียบขี้ไก่) ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ.....หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นผมกลับไปที่แม่วงก์อีกครั้ง ไปเก็บตกบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้การเดินทางของเราสมบูรณ์ขึ้น