เมื่อวันอาฬาหบูชาที่ผ่านมาผมมีเหตุจำเป็นที่ต้องไปทำธุระที่ อ.สวนผึ้ง สุดเขตแดนตะวันตกของประเทศไทย ผู้คนรู้จักที่นี่จากข่าวคราวที่เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า คงไม่ต้องเล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง ส่วนใหญ่ทราบกันดี ที่นี่จึงเป็นเหมือนดินแดนที่ต้องคำสาป ไม่ค่อยมีผู้คนเข้าไปกันนักทั้ง ๆ ที่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย
 
ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่เพราะได้มีโอกาสไปที่นั่นบ่อยมากเนื่องจากกว่าเป็นป่าใกล้กรุงที่สามารถไปเช้า-เย็นกลับได้ น้ำตกก็มีอยู่หลายแห่ง ซึ่งบางแห่งก็อยู่ในจุดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวกล้าเข้าไปเพราะอันตรายเกินไป ผมเคยเข้าไปที่บางแห่งที่ไม่มีใครไปเที่ยว ที่นั่นสงบเงียบ น่ากลัวมาก ๆ แต่เรื่องของความงามนั้นหายห่วงเลยครับ ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในป่าบริเวณนั้นสะพายปืนนั้นลงมาหาอาหารบ่อย ๆ นึกแล้วยังเสียวไม่หาย พวกเรา 5 ชีวิตออกเดินทางกันอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบกันมากนัก ครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจไปเที่ยวแต่มีเหตุที่ต้องไปทำธุระที่นั่นก็ถือโอกาสติดกล้องถ่ายรูปไปด้วย เผื่อว่าจะได้ถ่ายรูปเฟินมากฝากพรรคพวกกันบ้าง หลังจากเข้าเขต อ.สวนผึ้ง ก็มองเห็นทิวเขายาวเหยียดเป็นที่กั้นพรมแดนไทย-พม่า บนยอดเขามีเมฆคลอเคลียอยู่ตลอดเวลา มองดูท้องฟ้าคิดไว้แล้วว่าวันนี้คงเจอฝนแน่นอน ....ที่นี่ยังเป็นอำเภอที่เงียบสงบเหมือนเดิม หลังจากเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อไม่นานมานี้ ก็มีด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ตลอดทางเป็นระยะ ๆ ก็ทำให้อบอุ่นใจขึ้นมาอีกนิดนึง ....หลังจากจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย ทีนี้ก็เป็นเวลาที่เราจะได้พักผ่อนกันซะที ....ผมขับรถไปตามเส้นทางที่จะไปน้ำตกเก้าโจน แต่พวกเราไปกันไม่ถึงน้ำตกหรอกครับ เราแวะกันกันที่ลำธารข้างทาง ซึ่งเป็นจุดที่เราใช้เป็นที่พักผ่อนส่วนตัวกันเกือบทุกครั้งที่มาสวนผึ้ง
  ...จัดการกับอาหารกลางวันกันจนอิ่มหนำดีแล้ว ผมก็เดินสำรวจริมลำธารเหมือนทุกครั้งที่มาที่นี่ บริเวณนี้เป็นป่าโปร่งคงจะพบเจอเฟินไม่มากนักแต่ก็คงมีพอให้ดูเป็นกระสายยาได้บ้าง นั่นแน่! เจอแล้วครับ กูดห้วย ขึ้นอยู่ตามริมตลิ่งเต็มไปหมด บางต้นก็มีก้านที่ทอดยาวพร้อมที่จะเกิดรากและเป็นต้นใหม่ได้ในอีกไม่ช้านี้ ถ้าไม่มีน้ำป่าชุดใหญ่เหมือนกับทุกปีมากัดเซาะริ่มตลิ่งไปซะก่อน ผมเดินทวนน้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ หยุดพักที่หาดทรายเล็ก ๆ
 
เด็ก ๆ ก็วิ่งกันน้ำบานตามมาติด ๆ บริเวณนี้มี กูดขนคางพญานาค และ Diacalpe aspidoides ขึ้น อยู่หลายต้น มีตั้งแต่ต้นเล็ก ๆ ไปจนถึงต้นที่มีก้านยาวประมาณ 1 เมตรกว่า ๆ ผมเดินไปได้ไม่ไกลนักก็ต้องกลับ เพราะคู่ชีวิตของผม ซึ่งรออยู่บริเวณที่จอดรถบอกว่าแต่แรกแล้วว่ารู้สึกกลัวเพราะเหตุการณ์ที่นี่ไว้ใจไม่ค่อยได้ เนื่องจาก แนวรบด้านตะวันตกยังไม่เปลี่ยนแปลง ผมเลยย้อนกลับมีที่จุดเริ่มต้นแล้วเดินตามน้ำดูบ้าง แต่ต้องเดินบนตลิ่งเพราะน้ำค่อนข้างลึก ไหลเชี่ยว หินก็ลื้น เดินไปนิดเดียวก็เจอ เฟินหลังเงิน ที่ขึ้นอยู่ในที่โล่งแจ้ง ตามพื้นทรายที่ค่อนข้างละเอียดอยู่หลายต้น ทั้งต้นใหญ่ และเล็ก ถัดไปอีกนิดใต้ร่มไม้ที่มีไม้เลื้อยออกดอกสีชมพูส่งกลิ่นหอมรวยรินอยู่เต็มต้น ก็เห็น ย่านลิเภา เป็นเถาเลื้อยประมาณ 2 เมตรเห็นจะได้ ในขณะที่ผมกำลังจะเดินบุกป่าต่อไป นกอีโก้ง ซึ่งเป็นนกน้ำก็บินออกมาอย่างตกใจจากกอหญ้าบริเวณใกล้ ๆ ที่ผมยืนอยู่ แสดงว่าเค้าทำรังอยู่ในบริเวณนั้น เหลือบมองไปที่พื้นดินใกล้ ๆ ที่นกบินออกมาก็เห็นลูกนกน้อย ๆ ขนเพิ่งเริ่มขึ้น เดินออกมาด้วย ผมพยามยามที่จะเบี่ยงไปทางอื่น แต่ด้านซ้ายเป็นป่ารก ด้านขวาก็เป็นลำธารไหลเชี่ยว ผมเลยต้องต้อนเด็ก ๆ หันหลังกลับ ความจริงถ้าจะไปต่อก็ได้แต่ผมกลัว ว่าจะเป็นการรบกวนครอบครัวของนกเหล่านั้นมากเกินไป เดี๋ยวพ่อแม่นกพลาดจะทิ้งรังไปซะ จะทำให้ลูกนก ลำบาก ...ทำให้การเดินดูเฟินในคราวนี้จบลงในระยะเวลา และเส้นทางสั้น ๆ ถึงแม้ว่าดูเหมือนว่าจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก แต่อย่างน้อยผมก็ได้เห็นเฟิน ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัว ถือว่าเป็นการเติมไฟในตัวเองได้อีกเล็กน้อย เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะเดินให้ได้ไกลมากกว่านี้
ลำธารบริเวณนี้ผมมานั่งพักผ่อนกันทุกครั้งที่มาสวนผึ้ง
  และถ่ายรูปเฟินมาฝากให้เยอะ ๆ....ผมกลับมาที่จุดเริ่มต้น ฝนก็เริ่มตกหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ เราเลยต้องรีบจับเด็ก ๆ อาบน้ำให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อนที่ฝนจะเทมามากกว่านี้ .....แล้วพวกเราทั้ง 5 ชีวิตก็กลับถึงบ้านโดยปลอดภัย...........