เที่ยวป่าล่าอาลาบาด่าง
โดย ไข่
ผมเป็นลูกแม่น้ำปิง ตั้งแต่จำความได้ผมก็อาบแม่น้ำปิงมาตั้งแต่เด็กๆ 30 กว่าปีที่ผ่านมา ผมยังจำภาพเวลาที่อาบน้ำตอนเย็นที่แพสำหรับใช้อาบน้ำ หลาย ๆ คนในละแวกนั้นไปอาบน้ำกับที่นั่น ตรงไปที่อาบน้ำมองไปทางทิศเหนือที่แม่น้ำไหลมา จะมองเห็นภูเขาลูกหนึ่ง พ่อบอกว่าชื่อ เขากระร่อน ผมไม่รู้ที่มาว่าชื่อได้มาอย่างไร ผมมองมันมานับสิบปีจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ตามประสาเด็ก คิดไว้ในใจว่าสักวันจะขึ้นไปที่นั่นให้ได้ ผมชอบภูเขา ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ทุกครั้งที่ได้เห็นมันจะรู้สึกสดชื่น ดีใจ อยากมีบ้านริมลำธารใกล้ภูเขา ผมสานฝันได้สำเร็จก็อายุปูนนี้เข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ป่าแล้ว แต่ผมก็ยังอยากไปดูป่าที่อื่นอีกมันเป็นกิเลสไปซะแล้ว คิดอยู่ตลอดเวลาว่า ป่าทุกป่า ต้นไม้ทุกต้นมีความงามที่ต่างกัน ผมเล่าเรื่องเดินป่าให้พี่พจน์หนึ่งในทีมงานไทเฟินให้แกฟังบ่อยๆ จนพี่แกอยากจะไปเดินแต่ด้วยเวลามันน้อยนิด ผมก็พลัดผ่อนแกเรื่อยมา จนในที่สุดแกยื่นไม้ตายบอกว่าถ้าผมไม่พาเดินก็ให้คนของผมพาไปแทน แล้วก็จะงอนผมด้วย เจอไม้นี้เข้าไปผมก็ต้องยอมความจริงแล้วลึก ๆ มันเป็นความต้องการของผมเองด้วย ตัดสินใจลางานประจำเผื่อการเดินทางทั้งไป-กลับ
วันที่ 15 มิ.ย. 52 ออกเดินทางจากเมืองอันวุ่นวาย รถยนต์ 2 คน ผมกับเจ้าต้น พี่พจน์กับเก่ง พี่โต้งติดงานสำคัญของขาย น้าเก๋เบี้ยวซะงั้น ส่วนเจ้าเติ้ลติดธุระเรื่องลูก(แต่บางคนบอกว่ากลัวเมีย)
เช้าตรู่ของวันที่ 16 มิ.ย. 52 ถึงสวนไทเฟิน พักผ่อนตามอัธยาศัยเจ้าต้นนอนยาวเพราะอดนอนมาทั้งคืน เก่งเดินดูเฟินในโรงเรือน ส่วนพี่พจน์ลืมแก่ซ่าส์ว่าใครเพื่อน ขอยืมมอเตอร์ไซด์เจ้าชาติไปขับเล่น เล่นไปซะนานจนพวกเราพาลคิดกันไปว่าคงไปหลงความงามของสาวกะเหรี่ยงเข้าให้แล้ว
ตอนกลางคืนเราคุยเรื่องเส้นทางที่จะไปเดินกันพรุ่งนี้ ที่เจ้าชาติวางแผนไว้ 2 ทางคือ แผนแรก ต้องขับรถเคลื่อนสี่ล้อเข้าไป ต้องขับลุยในลำห้วยหลายครั้งจนถึงจุดมุ่งหมาย คือ ป่าดิบชื้น แต่ถ้าไม่มีรถก็เดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง จึงจะถึงป่าที่ว่า แผนที่ 2 คือ เดินเท้าจากบ้านผาคอก ประมาณ 2 ก.ม. ก็จะถึงป่าอีกแห่งหนึ่ง ปรึกษากันแล้วด้วยสังขารและเวลาที่มีน้อยนิด เราควรเลือกเส้นทางที่ 2 ฮ่า ๆ ๆ ๆ
วันที่ 17 มิ.ย. 52 หกโมงเช้าทุกคนตื่นขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง กาแฟอุ่น ๆ กับบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ รอบ ๆ ตัว รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก กินเข้าเช้าบ้านชาติ ขับรถไปจอดริมห้วยแม่กะแซ ตรวจสอบความพร้อมของใช้จำเป็น ยาทากันยุงขาดไม่ได้เพราะใข้ป่าที่นี้แรง ในทริปนี้ เรายกให้พี่พจน์เป็นผู้มีอุปกรณ์ดีเด่น เป้สะพายกล้องกันน้ำอย่างดี กระติกน้ำคาดเอว มีดเดินป่าพร้อมปอกสวยหรู ส่วนผมกางเกงหลวมอาศัยเชือกผูกเต็นท์ของพี่พจน์มาผูก มีดก็แวะซื้อข้างทาง ปลอกมีดก็ใช้ท่อ PVC จากในสวนมาลนไฟทุบให้แบน ๆ เจาะรูเอาเชือกผูกไว้กับหูกางเกงแม้จะโดนพี่พจน์ล้อ ผมก็เถียงข้าง ๆ คู ๆ ว่า เป็นการใช้ของที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ว่าไปนั่นเลย)
เริ่มเดินผ่านไร่ของชาวบ้าน ผ่านสะพานไม้ที่สร้างแบบง่าย ๆ ด้วยจำนวนงบประมาณที่ค่อนข้างสูงเกินจริง บางช่วงต้องเดินข้ามห้วยด้วยสะพานที่เป็นต้นไม้ต้นเดียวพาดไว้ไม่มีราวจับ บางช่วงก็เป็นแค่ไม้ไผ่พาดไว้ 2 อัน เดินผ่านไร่และป่าโปร่งด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควรเห็น เฟินที่เจอก็จะมีพวก กนกนารี ย่านลิเภา กูดแต้ม กูดชิงช้า บางช่วงก็พอจะเห็น เฟินชายผ้าปีกผีเสื้อ และ Polypodium ptilorhizon ดูเผินๆ คล้ายพวกเฟินใบขาม แต่มีขนสีขาวปกคลุม เหง้าเลื้อยมีขนสีน้ำตาลปกคลุม เกาะอยู่ตามต้นไม้ บางครั้งก็เห็นขึ้นอาศัยอยู่กับชายผ้าสีดาปีกผีเสื้อ
หลังจากที่ข้ามสะพานไม้ไผ่สองท่อนช่วงสุดท้าย เราก็เจอลำธารเล็ก ๆ ที่เป็นสาขาของห้วยแม่กระแซ ป่ารกทึบ ไม่มีทางเดินที่เป็นเรื่องราว ต้องเดินในลำธารน้ำเล็ก ๆ อย่างเดี่ยว ช่วงนี้ตามริมน้ำพบพวก กีบแรด, กูดกวาง.และพวกกูดหูควากตามริมธาร ช่วงที่มีแสงแดดส่องมาก ๆ ก็มีพวกกนกนารีขึ้นประปราย เฟินที่พบมากอีกชนิดหนึ่งคือ ผักกูด ที่เป็นยอดเฟินอาหารยอดนิยมของคนกรุง แต่แสนธรรมดาของคนบ้านป่า ลำธารเล็ก ๆ น้ำไม่สูงมาก พวกเราเดินลุยไปเรื่อย ๆ แบบสบาย ๆ แต่ก็ต้องระมัดระวังเจ้าจะเหยียบหินลื่น ๆ ในลำธารเหมือนกัน บางช่วงเป็นน้ำตกชั้นเล็ก ๆ ก็ต้องป่ายปีนกันบ้าง ช่วงนี้ไม่หนักหนาอะไร ยิ่งเดินลึกเข้าไปตามโขดหินหรือก้อนหินริมน้ำก็จะมีพวก Microsorum Membra กับพวก Asplenium drepanophyllum ขึ้นให้เห็นอยู่ทั่วไปจนเป็นเรื่องธรรมดา พี่พจน์ดูจะตื่นตาตื่นใจกว่าใครเพราะเป็นการเดินป่าครั้งแรกของแก พวกเราเดินกันอย่างไม่รีบร้อน พี่พจน์ก็เก็บภาพไปเรื่อย ๆ อากาศในหุบเขาเย็นสบายไม่มีใครบ่นเรื่องอากาศร้อน พี่พจน์ที่อุปกรณ์ครบครันก็ยังไม่บ่นว่าหนัก พวกเราเดินลุยน้ำกันไปเรื่อย ๆ สองข้างลำธารภูเขาสูง ด้านเป็นป่าที่โดนถางทำไร่ซะส่วนใหญ่ เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ตามตลิ่งข้างลำธารเริ่มเห็นกูดก้านแดง ที่อยู่ในสกุล Pteris มาขึ้นเรื่อย ๆ เฟินชนิดนี้มีก้านสีแดงตัดกับใบสีเขียวสวยงามมาก พบกูดก้านแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมมีความหวังลึกๆ ว่า เราอาจจะพบเฟินอาลาบาด่างกันบ้างไม่ได้ติดตามหลักวิชาการอะไรหรอกครับ แต่คิดว่ากูดก้านแดงกับอาลาบาด่างมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่อาลาบาด่างมีสีใบที่อ่อนกว่าก้านสีแดง ตรงกลางใบเป็นสีขาว เป็นเฟินที่มีความงามมาก เมื่อเจอกูดก้านแดงก็อาจจะพบอาลาบาด่างก็เท่าเป็นการคิดตามประสาคนที่ไม่มีความรู้อะไร
และเหตุการณ์สำคัญของการเดินป่าทริปนี้ก็เกิดขึ้น เป็นช่วงที่เจ้าชาติเก่ง ต้น เดินนำหน้า ตรงนั้นเป็นช่วงโค้งหักศอกของลำธารและตลิ่งค่อนข้างสูง เจ้าชาติตะโกนเสียงดังว่าเจอเฟินอาลาบาด่าง มันกับเก่งโดดกันตัวลอย ดีใจกับสุด ๆ เจ้าชาติคงดีใจเพราะว่าหลังจากเคยพบในธรรมชาติที่ห่างจากจุดนี้ไม่น้อยกว่า 70 กม. ก็คงไม่คิดว่าจะพบที่นี้ด้วย พวกเราถ่ายภาพกันอย่างไม่นับ เฟินอาลาบาด่างพวกนี้ขึ้นปะปนกับ กูดก้านแดง อย่างที่เราคิดกันไว้จริง ๆ หลังจากรื่นรมกันเสร็จก็ออกเดินกันต่อช่วงนี้ ถึงแม้ว่าน้ำในลำธารจะไม่ลึกแต่ตลิ่งค่อนข้างสูงมีกิ่งไม้และเถาวัลย์ ขวงทางเป็นระยะต้องใช้มีดตัดออกไปบ้างพอให้เดินสะดวก น้ำตกชั้นเล็ก ๆ เริ่มพบกันบ่อยขึ้นต้องออกแรงขึ้นกันมาก-น้อย บ้างแล้วแต่ลักษณะของชั้นน้ำตก สองฝั่งของลำธารเป็นพวกกล้วยป่ากับไผ่บงนี้ชาวบ้านนิยมนำไปทำเป็นเสาบ้าน เพราะมีความใหญ่และหนามาก เฟินที่พบตามโขดหินก็เหมือนเดิมเป็นพวก กูดกวาง กูดก้านแดง อาลาบาด่าง ตามโขดหินก็เป็นพวก Microsorum Membra กับพวก Asplenium treemaidenhair ที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้ พวกเราพูดเหมือนกันว่าพบอาลาบาต้นเล็ก ๆ ก็อยากจะเจอต้นใหญ่ ๆ กันบ้าง ประมาณว่าไม่รู้จักพอ พวกเราเดินไปก็สรวลเสเฮฮาไปตามเรื่อง เพื่อกลบเกลื่อนความเหนื่อย ถ้าเดินป่าแบบเครียดมันก็จะไม่สนุก มีอยู่ช่วงหนึ่งพี่พจน์พูดออกมาว่าไม่เห็นมีทากดูดเลือดเลย ไม่รู้ว่าอยากเจอหรือว่าไง เก่งก็เลยห้ามว่าเข้าป่าถ้าพูดถึงสิ่งน่ากลัว งานนี้ผมว่าหากมันล้อพี่พจน์มากกว่า มันคงไม่อยากดูดเลือดคนแก่หนังเหนียว 5555555
พวกเราเดินลึกกันไปเรื่อย ๆ สภาพป่ายังเหมือนเดิมของชาวบ้านสองข้างเป็นไผ่บงกับกล้วยป่า ที่รากจะมีน้ำที่รากจะมีน้ำหยดตลอดเวลา เค้าบอกกันว่า รากกล้วยจะเป็นรากของพืชที่อุ้มน้ำได้ดีมาก ผมว่าถ้าประเทศไทยรณรงค์ให้ปลูกกล้วยป่าริมลำธารที่เป็นป่าต้นน้ำ หรือลำธารที่เหือดแห้งก็น่าจะดีเพราะรากกล้วยจะเก็บน้ำไว้และค่อย ๆ หยดออกมาถ้าปลูกกันเป็นพัน-หมื่น-แสน-ล้าน-หลาย ๆ ล้าน ต้น ถ้าคิดเป็นปริมาณน้ำ แสง ก็คงไม่ใช่น้อย ถ้าชาติหน้ามีวาสนาได้เป็น รมว. เกษตรจะทำโครงการนี้ครับ ปลูกกล้วยอะไรก็ได้ที่กินได้ ขายได้ ไม่ต้องใช้ต้นทุนในการปลูก ดูแลรักษาอะไรเลย ถึงเวลาลูกแก่ก็ตัดไปกินไปขายได้อีก ให้ชาวบ้านเก็บผลประโยชน์ได้ทุกคน และเค้าก็จะช่วยกันดูแลกันเองถ้าเริ่มกันวันนี้แต่ตอนนี้ อีกไม่นานลำธารที่เคยเหือดแห้งก็อาจจะมีน้ำไหล เหมือนเดิมก็ได้ เรื่องนี้อาจเป็นความคิดแบบเบาปัญญาของผมเองก็ได้เน๊อะ
พวกเราเดินสูงขึ้นเรื่อย ๆ มีการป่ายปีนมีอยู่ตลอดเวลา เส้นทาง รกทึบมากขึ้น มีดที่เตรียมไปมีความจำเป็นต้องใช้ ฝ่าฟันเถาวัลย์และกิ่งไม้มากขึ้น ตลอดเส้นทางมีทั้งปีนและก็มุด ผมพบเฟินอีกหลายชนิดแต่ไม่รู้จักชื่อ ช่วงไหนที่ถึงทางแยกของลำธารก็ต้องหยุดรอปรึกษากันว่าจะไปทางไหน ข้าวเจ้าและข้าวเหนียวที่ตกถึงท้องเมื่อตอนเช้า คงจะเหลือน้อยเต็มที
ต่อหน้า 2