เดินต่อไปเรื่อย ๆ มองไปข้างหน้าดูเหมือนท้องฟ้าเริ่มกว้างขึ้นได้ยินเสียงโครมครามอยู่ข้างหน้า.... อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พวกเราเดินสุดทาง สายน้ำที่พวกเราย่ำกันมาไหลตกลงไปข้างล่าง เป็นหน้าผาตั้งชัน 90 องศา เสียงน้ำที่ดังกระทบพื้นข้างล่างลึกและไกลมองไม่เห็นว่าก้นเหวอยู่ตรงไหน ประมาณแบบมั่ว ๆ ว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 100 เมตร
พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่พยายามหาทางที่จะลงไปข้างล่าง ตรงที่น้ำตกลงไปขวามือเป็นหน้าผาสูงชัน ซ้ายมือมีหนทางที่พวกเราพอจะผ่านไปได้ แต่ค่อนข้างอันตราย แต่ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเราไม่มีจุดสิ้นสุดเฉกเช่นกับมนุษย์คนอื่น พวกเราค่อย ๆ เกาะหิน รากไม้ เพื่อจะข้ามไปด้านที่เป็นที่โล่งมีความลาดชันประมาณ 45 องศา ดูด้วยสายตาแล้วคิดว่าบริเวณนั้นน่าจะเป็นทางลงสู่ข้างล่างเพื่อชมความงามของน้ำตกได้ช่วงที่ป่ายปืนกันนั้นผมเห็น เฟิน Asplenium oblongifolium มองเผิน ๆ คล้ายฮอลลี่เฟิน ขึ้นอยู่กับดินตามซอกหินอดไม่ได้ที่จะยักแย่ยักยันถ่ายรูปเก็บไว้
เมื่อผ่านหน้าผาช่วงนั้นไปได้แล้วชาติเดินลงไปข้างล่างก่อนใคร เก่งเห็นท่าไม่ไหวก็ตัดขึ้นด้านบน ส่วนเจ้าต้นปืนตัดขึ้นด้านบนเหมือนกันคงคิดกันแล้วว่าไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง ผมพยายามตามชาติไปแต่ก็ติดอยู่ในพื้นที่โล่งแต่ลาดเอียงไม่น่าจะน้อยกว่า 45 องศา หวาดเสียวอย่างบอกไม่ถูก พื้นรองเท้าที่ไม่เกาะพื้น ประกอบกับบริเวณนั้นไม่มีก้อนหินต้นไม้หรือสิ่งใด ๆ ให้ผมได้เกาะเกี่ยว เลยต้องค้างอยู่ตรงนั้น ขยับเท้าไม่ได้เพราะถ้าขยับเพียงนิดเดียวอาจจะลื่นกลิ้งลงไปด้านล่างได้ ชาติกลับขึ้นมาแค่เห็นน้ำตกจากหน้าผา แต่ลงไปไม่ได้อีกแล้วมันอันตรายเกินไป ขยับตัวหันกลับขึ้นข้างบนแต่ไม่สามารถยืนขึ้นได้ไม่มีอะไรให้ยึดเกาะพื้นรองเท้าที่ลื่นไม่มีก้อนหินพอที่จะให้เท้ายึดเป็นฐานที่มั่นคงได้ รวบรวมสมาธิค่อย ๆ คลานขึ้นไปทีละนิด ถ้าพลาดก็คาดเดาได้ 2 อย่าง คือ ไม่สาหัสก็ตาย สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้คือ เชือกที่โรยมาจากด้านบนหรือเถาวัลย์เล็ก ๆ ซักเส้น ผมคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในตอนนั้นตนเป็นที่เพิ่งแห่งตนจริง ๆ นั้นช่วงนั้น คลานไปทีละนิดมันช่างเป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนานเสียเหลือเกิน ในที่สุดผมก็สามารถคว้าต้นไม้ต้นแรกไว้ได้ กดดัน อึดอัด ผมลืมเรื่องราวอันขมขื่นของชีวิตชั่วขณะ
พักจนหายเหนื่อยก็เดินบุกป่าไปที่ลำธารสายเดิมระหว่างทางผมพบเฟินในสกุล Pteris ที่มีใบอ่อนสีแดงสวยเหลือเกินรวบรวมกำลังพลครบถ้วนเราก็เดินทางทวนสายน้ำกลับทางเดิมบอกกันไว้ว่าพบลำธารสายเล็กๆที่มาบรรจบกับลำธารสายนี้ก็ให้แวะเข้าไปด้วย
สายน้ำสายแรกที่เราแวะเข้าไปค่อนข้างมืดครึ้มอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกมีเฟิน Stigmatopteris heterophlebia ขึ้นอยู่หนาแน่นลักษณะใบเป็นใบเดียวแล้วออกแฉกด้านข้าง เหง้าสีมีขนสีน้ำตาลปกคลุมขึ้นอยู่ตามหินที่ชื้นเดินเลยขึ้นไปเรื่อยจะหนาแน่นไปด้วยต้นบอน ยิ่งเดินเข้าไปลึกน้ำยิ่งไหลลดน้อยลง เจอร่องรอยของหมูป่าตีแปลงบริเวณนั้นพวกเราจึงต้องหันหลังกลับ เพราะสัตว์พวกนี้เขี้ยวเล็บไม่แพ้เสือเหมือนกัน ถ้ามันซุ่มอยู่แล้วเกิดพุ่งชาร์จเราก็เป็นเรื่องแน่ๆ เดินไปซักพักก็เจอลำธารอีกสายหนึ่งที่นี่มีพวกเฟิน Colysis hemionitidea (wall.) presl. ขึ้นอยู่เยอะมากเฟินชนิดนี้เหง้าเลื้อยขนสีน้ำตาลปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว ผิวของใบขรุขระ ใบอ่อนเป็นสีส้มสด ชอบขึ้นตามริมน้ำบางครั้งก็จะพบปะปนกับ Stigmatopteris heterophlebia เดินต่อไปข้างในรกทึบบรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ คือมืดครึ้ม รอบๆ ตัวมีแต่ต้นบอนที่สูงใหญ่ ผมเลยรีบเดินออกมา ลำธารสาขาเส้นต่อไปที่พวกเราเดินอีกเส้นไม่รกทึบเหมือนที่เดินผ่านมาเดินกันสบาย ๆ ไม่ต้องระแวดระวังอะไรมากนัก บริเวณนี้เราพบพวก Asplenium treemaidenhair อยู่อย่างดาษดื่นเหมือนเดิม ตามต้นไม้ก็จะมีพวกเฟินในสกุล Lomarioและเฟินที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเฟินหางหงส์แต่ผมไม่รู้จักชื่อมีเหง้าเลื้อยอยู่บนต้นไม้ ทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่ บนต้นไม้ก็มีกูดอ้อมให้เห็น ต้นไม้ล้มผุ ๆ ผมเจอเฟินปรอกหางสิงห์อยู่หลายต้น เราชมความงามบริเวณนี้แค่ครึ่งครู่เดียวก็ต้องกลับเพราะตะวันที่อ้อมภูเขาในฤดูหนาวทำให้ในหุบเขาเย็นย่ำค่ำมืดเร็วกว่าปกติ ปกติ ช่วงที่เราเดินล่องมาตามสายน้ำเดินเจ้าต้น (Kokorin) เห็นเฟินที่มีลักษณะคล้ายใบมะขามขึ้นอยู่บนภูเขาก็รีบปืนขึ้นไปดูคงจะคิดว่าเป็นเฟินใบมะขามสไบอันลือชื่อ ดูไกล ๆ น่ะคล้ายแต่พอเห็นกันชัด ๆ กับกลายเป็นเฟินในสกุล Polypodimขึ้นอยู่พื้นดินลักษณะใบเป็นแบบเฟินใบมะขามและส่วนคอดของใบอุปมาอุปมัยได้ว่าคล้ายหางปลา ดูแปลกตาเป็นอย่างมากผมว่าน่าสนใจทีเดียว
พวกเราบ่ายหน้ากลับกันอย่างจริงจัง ชาติพาเดินตัดสันเขาที่สูงชันเพื่อขึ้นไปเดินสันเขา พวกเราพักกันไม่ต่ำกว่า 4 ครั้งกว่าจะถึงยอดเขาเล่นเอาขาสั่นไปตาม ๆ กันลักษณะป่าแตกต่างจากข้างล่างอย่างสิ้นเชิงลมแรงและหนาวเย็นตามต้นไม้มีเฟินนาคราช, Pgrrosia Limgua , ชาไก่ , Oleadra decurens, เฟินนาคราชตัวเมียที่เริ่มฟักตัว เฟินนาคราชตัวเมียกับขาไก่ใบเริ่มงองุ้ม ส่วน Oleadra decurens ใบเริ่มหลุดร่วงเหลือแต่เหง้าที่สร้างรากระโยงระยางตามต้นไม้ ส่วนพวก Oleadra wallichii ที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดินก็เริ่มมีใบสีน้ำตาลเฟินชนิดนี้เหง้าเลื้อยใต้ดินค่อนข้างลึกถึงแม้ว่าจะมีไฟป่าเข้ามาลามเลียก็ไม่เกิดปัญหาอะไร พอย่างเข้าฤดูฝนก็จะออกใบใหม่ทันที เราเดินเรียงแถวผ่านดงเฟินอุ้งตีนหมี ทุกคนพร่ำพรรณาถึงลีลาของเหง้าที่แตกต่างกันออกไป...
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงจุดนี้จุดที่เราจอดรถกันไว้..
..พักดื่มน้ำกัยพอหายเหนื่อยก็ประจำที่ในรถ
ผมนั่งที่กะบะรถ ระหว่างทางกลับสวน ที่ๆ ผมตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็นที่พักแห่งสุดท้ายในชีวิตของผม คิดถึงป่าที่เพิ่งไปเดินจากมา....ป่าให้น้ำให้กำเนิดชีวิต ป่าดูดซับน้ำฝนไม่ให้น้ำป่าไหลหลาก ป่าดูดซับอากาศเสียเปลี่ยนเป็นอากาศดี แต่ทำไมผมจึงไม่มีป่าดูดซับความเลวร้ายเกิดกับตัวผมอย่างต่อเนื่องให้หมดไปให้กลายเป็นสิ่ง ทำไมผมมีมีป่าที่เปลี่ยนสิ่งร้ายให้เป็นสิ่งดี ผมมีความสุขกับเรื่องที่ผ่านมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และกำลังกลับสู่โลกใบเดิมและเหตุการณ์เดิมๆ เพื่อนผมคนนึงบอกว่าธรรมชาติอาจบำบัดผมได้....และอาจจะเป็นไปได้.....แต่คงไม่ใช่เวลานี้ ซักวันนึงข้างหน้าผมคงมาอยู่ให้ป่าบำบัดใจชั่วนิรันดร์.......ผมอาจได้เห็นดินแดนวาสิฐีที่ผมใฝ่หา.....
“โลกใบที่สวย ยังรอให้คุณคว้าไขว่ แม้มันไม่ใหญ่ แต่มันก็ได้เริ่มต้น”
.......หวังว่า สักวันผมคงได้เห็นดินแดนวาสิฐีที่ผมใฝ่หา.....