...เปลี่ยวเหงา...
การเมืองที่ร้อนระอุในช่วงเลือกตั้ง ของช่วงที่ผ่านมา ก็คงจะไม่แพ้จิตใจของผมที่รุ่มร้อน แผดเผาเจียนตาย การเดินทางที่เร่งรีบของผม ที่เกิดจากการโดนผลักไสไล่ส่งไปให้ไกลจากสถานที่แห่งหนึ่ง ไปสู่อีกมุมหนึ่ง ที่เป็นที่พักยามที่จิตใจรุ่มร้อน เป็นที่เติมไฟ เติมความหวัง เป็นมุมที่ไม่เคยเกี่ยงงอนไม่ว่าผมจะไปในสภาวะเช่นใด
ผมเดินทางคนเดียวบนเส้นทางลอยฟ้ามานานหลายปี ผ่านโค้งนับรวมกันก็คงนับแสนโค้ง ไม่เคยมีคนร่วมทางมานาน แต่ครั้งนี้มีผู้ร่วมทางที่ติดตามผมด้วยความห่วงใย คอยควบคุมไม่ให้ผมขับรถอย่างลืมตายเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา
ถึงสวนด้วยเวลาที่ดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว หมอกในสวนลงหนาจนมองแทบไม่เห็นเส้นทาง รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยไอน้ำเม็ดเล็กๆ ลอยขาวโพนไปทั่วสวน พื้นหญ้าที่กางเต็นท์เปียกไปด้วยหยดน้ำ เสียงหยดน้ำที่หยดจากใบไม้ เหมือนฝนตกเล็กๆ อากาศเย็นเยือก มันเป็นเวลาที่ควรจะต้องนอน แต่ผมไม่อยากนอน เหตุการณ์เรื่องราวที่ผ่านมา มันยากที่ผมจะข่มตาให้หลับลงได้ ถึงแม้ว่าร่างกายและจิตใจจะอ่อนล้าเพียงใดก็ตาม
...โอ้ หนอเจ้ายอดหญ้า
คราวนี้ พี่ล้าเต็มทน
ขอล้มกายลงบน ยอดใบเจ้าได้มั๊ยหนอ
พออาทิตย์ทอแสง มีแรงข้าคงไปต่อ...
ผมตื่นแต่เช้าเหมือนเดิมทุกครั้งที่อยู่ในสวน มันเป็นกำไรชีวิตที่ได้ลุกออกจากเต็นท์มารับไอเย็นของหมอก ผมนอนเต็นท์มานานนับปี เหตุเพราะว่าบ้านโดนไฟไหม้จากความประมาทเลินเล่อของคนงานชาวพม่า ได้ยินเสียงนกร้อง ได้เห็นหยดน้ำที่เกาะยอดหญ้า แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้จิตใจที่รุ่มร้อน เย็นลงได้เลย แต่กระนั้นก็เปรียบเสมือนหยดน้ำที่โดนฝุ่นละอองเมื่อโดนแสงแดดแผดเผ่าแห้งเหือดก็ยังเหลือคราบขาวๆ ให้คาใจ จะหายไปก็จนกว่าจะได้น้ำค้างหยดใหม่มาช่วยชะล้างออกไป
วันนี้เจ้าชาติตื่นแต่เช้ามาดูผมด้วยความเป็นห่วง เราร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมานานหลายปี แต่เค้าก็คงไม่เข้าใจสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของผม เราคุยกันเรื่องงาน เรื่องชีวิต ซึ่งคนบ้านป่ามักไม่เข้าใจของเหตุผลของคนในเมืองอย่างเราๆ ว่าปัญหาบางอย่างมันซับซ้อน ซ่อนปมอะไรไว้มากมายเกินกว่าที่จะรับรู้ได้ทั้งหมด
เราตกลงกันว่าเพื่อคลายความเหงาในสวน คืนนี้เราจะหุงข้าวหลาม ย่างไก่กินกัน กระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ที่ตัดมาแทนเป็นแก้วเหล้ามันช่างเข้ากันกับน้ำใสๆ ดีกรีสูงที่ชาวบ้านกลั่นกันเอง ผมกับชาติไม่ทำอย่างนี้มานานหลายปี ชีวิตมีแต่งาน ถึงเวลาก็หาอาหารใส่ปากกันตาย แล้วก็ทำงาน คิดแต่เรื่องงาน ไม่มีเวลาผ่อนคลาย ความจริงแล้ว ผมมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าคนในเมืองอีกหลายคน แต่ผมก็ไม่ใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์แก่จิตใจของผมเลย คงเป็นเพราะผมยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต
คืนนี้รวบรวมสมัครพรรคพวกสวนใกล้เคียงมาล้อมวงกันพร้อมหน้า รอบวงสนทนามี แต่เรื่องเฮฮาตามประสาชาวบ้านป่าจนดึกดื่นก็ตะเกียกตะกายกลับบ้านใครบ้านมัน ผมตกลงกับชาติไว้ว่าพรุ่งนี้เราจะไปดูที่ดินแปลงใหม่ที่ชาติดิ้นรนซื้อไว้ติดกับห้วยนุโพ แล้วขอร้องแกมบังคับให้ผมไปทำมาหากินที่นั่นด้วยกันอีกแห่งหนึ่ง ผมอยากไปที่ห้วยนุโพเพราะต้องการเดินดูป่าที่นั่น คืนนั้นผมนอนมโนภาพถึงห้วยนุโพทั้งๆ ที่ผมนอนอยู่ริมห้วยแม่กลอง
...หนาวรู้สึก หยดน้ำค้างระหว่างฝัน
แว่วเรไร ไล่บรรเลงเพลงนิรันทร์
กล่อมแก้วตา นิทราฝันกลางดงดาน....
ด้วยระยะทางที่ไกลจากสวนที่เราอยู่ 70 ก.ม. เราทั้งห้าคนรวมถึงเจ้าเกตุลูกสาวคนเดียวของชาติด้วยออกเดินทางกันแต่เช้า พกข้าวหลามกับไก่ย่างที่เหลือเมื่อคืนไปด้วย เพราะที่ระหว่างทางจะหาร้านก๋วยเตี๋ยวซักร้านก็คงจะยาก ผ่านแต่ป่าเขาและหมู่บ้านเล็กๆ หลังจากผ่านทางเข้าน้ำตกทีลอซูกันลือชื่อเส้นทางก็เหมือนมีแต่หลุมบ่อ ถึงที่ดินแปลงของชาติก็สายมากแล้ว พื้นที่ของสวนใหม่ที่กว้างใหญ่เราจึงเดินดูกันคร่าวๆ ในระหว่างที่เดินดูขอบเขตของที่ดินแปลงนี้ซึ่งอยู่ติดกับป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง ที่ต้นไม้ใหญ่ที่เราเดินผ่านก็มีเฟินหางนกหว้า พวกเฟินกระปรอกเล็ก ชายผ้าสีดาปีกผีเสื้อ (ที่นี่เรียกกันว่าใบตองห่อข้าว) เกาะอยู่บนคาคบไม้เป็นระยะบางต้นก็มีพวก Drynaria parishii เหง้าเลื้อยเป็นเส้นขึ้นสู่ยอดไม้สุดลูกหูลูกตา จากนั้นพวกเราก็หลบลงพักร้อนกันที่ริมห้วยนุโพ
ห้วยนุโพเป็นสายน้ำเล็กๆ ที่มีความกว้าง 5-10 เมตร เป็นช่วงๆ ความลึกก็ประมาณแค่เข่า น้ำใสเห็นพื้นหิน พื้นทรายข้างล่าง คนเฒ่าที่นั้นบอกว่าสายน้ำที่นี่ถึงแม้ว่าจะเล็กแต่ก็ไม่เคยเหือดแห้ง สภาพป่าร่มครึ้ม บรรยากาศรอบๆ เย็นฉ่ำน่านอนพักเอาแรง เฟินที่อยู่รอบตรงที่เรานั่งพักเป็นพวกกูดกิน และเฟินในสกุล Tectaria ตรงที่เรานั่งพักเฟินที่อยู่บนต้นไม้ที่เป็นเฟินอิงอาศัยพวกหางนกหว้า กูดอ้อมต้นเล็กๆ มีพอให้เห็น เราตกลงว่าจะเดินทวนน้ำขึ้นไปเรื่อย เพราะเป็นเส้นทางเดินทวนน้ำที่ไม่ลำบากอะไรนัก
พอเริ่มเดินไปในลำธาร ริมลำธารจะเห็นเฟินพวกกูดแต้ม และเฟินในสกุล Lomario อยู่ริมลำธารน้ำ เดินลึกเข้าจะก็เริ่มเห็นพวกเฟินกีบแรด มีทั้งขนาดเล็ ก-ใหญ่มีให้เห็นแบบดาดดื่น ตามโขดหินที่มีความชื้อก็จะมีพวก Asplenium drepanophyllum อยู่เป็นระยะ ตลอดเส้นทางในช่วงนี้ บางช่วงก็จะเห็นเฟิน sphaerostephnos polycarpus (Bl.) Copel มีเหง้าที่ใหญ่ ก้านใบยาว ถึงแม้ว่าใบจะเล็กแต่ก็มีลักษณะที่ยาว ตามต้นไม้ที่ล้มอยู่ไกลๆ มีพวก Asplenium seratum เกาะอยู่หลายต้น ระหว่างทางเราพบพวกTectaria athyrioides เฟินในสกุล tectaria และเฟินในสกุล Pteris อีกหลายชนิดที่ผมไม่ทราบชื่อ ที่พอจะเรียกชื่อถูกก็คือกูดภู
เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ลำธารน้ำเริ่มเห็นเป็นชั้นน้ำตกหินปูน มีหินงอก หินย้อย เล็กๆ น้อยตามน้ำตกชั้นเล็กๆ ให้เห็นตลอดเส้นทาง ในช่วงที่เป็นหน้าผาหินปูนเจ้าชาติชีให้ดูเฟิน ข้าหลวงใบช้อน แต่ที่นี้รูปร่างไม่เหมือนกันชนิดที่พบทางภาคใต้ ที่นี่มีสีเขียวอมเหลือง ใบหนา และกว้างกว่าค่อนข้างมาก ไปครั้งนี้ผมจนปัญญาที่จะถ่ายรูปมาให้ท่านผู้อ่านได้เห็นสภาพที่อยู่ในธรรมชาติได้ น่าเสียดายจริงๆ
อากาศที่เย็นในฤดูหนาว และป่าที่ร่มครึ้ม ผมไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เป็นห่วงแต่เปิ้ลที่ไม่เยชินกันสภาพแวดล้อมแบบนี้ อาจจะสร้างความลำบากให้อยู่บ้าง แต่ลำหรับคนอื่นๆ แล้วถือว่าสบายมาก ทางเดินเริ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ต้องปีนน้ำตกั้นเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา พวกผู้หญิงขอรออยู่ข้างล่าง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผมขอปีนขึ้นไปเรื่อยๆ เส้นทางถือว่าไม่ลำบากอะไร จนในที่สุดผทก็ขึ้นไปถึงจุดที่ชาวบ้านในพื้นที่ ทำกังหัน ทดน้ำไไปใช้ โดยใช้พลังน้ำในการหมุนกังหัน ดูแล้วเป็นการทำแบบง่ายๆ แต่เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดตามภูมิปัญญาชาวบ้านจริง ผมเห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้จริง ถึงจึดนี้แล้วมองไปข้างหน้าเป็นลำธารเล็กๆ ที่ไหลออกมาจากป่าทึบ น่าเดินมาก แต่เราไม่มีครั้งนี้เราไม่มีความพร้อมที่จะเดินบุกเข้าไปจริงๆ จึงชวนกันหันหลับกลับ
กลุ่มผู้หญิงรอเราอยู่ข้างล่าง พอพร้อมแล้วก็เดินตามสายน้ำกลับสู่ที่เดิมที่เราเริ่มต้นเดินกันมา ผมตั้งใจเดินอยู่ท้ายสุด บอกทุกคนว่าให้เดินล่วงหน้าไปก่อน ไม่ต้องเป็นห่วง จะเดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆ เดินช้าๆ เพื่อให้ทุกคนเดินหายไปกับโค้งน้ำ เป็นความตั้งใจของผมที่อยากเดินอยู่คนเดียวเงียบๆ กลางป่าเปลี่ยวแบบนี้ ผมต้องการให้ความเหงาอยู่เป็นเพื่อนผมซักพัก อยากนิ่งคิดอะไรบ้างอย่าง เท้าที่กวนน้ำให้ขุ่น ซักพักมันก็ตกตะกอน แต่ใจของผมล่ะ เมื่อไหร่จะตกตะกอนบ้าง ผมเดินช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากออกไปจากป่าแห่งนี้ ไม่อยากเห็นโลกภายนอก ไม่อยากเห็นโลกของความเป็นจริงที่มีแต่ความปวดร้าว ขมขื่น นั่งพักทอดอารมณ์ไปกับสายน้ำ มือวักน้ำขึ้นล้างหน้า เรียกความรู้สึกที่เป็นตัวตนกลับมา เท้าที่แช่น้ำรู้สึกได้เลยว่าผมผ่อนคลายทางกาย แต่ความเย็นของสายน้ำในฤดูหนาวไม่ได้ทำให้จิตใจผมคลายความร้อนรนได้เลย .....ความหนาวเย็น สายน้ำยะเยือก ไม่สามารถบำบัดจิตใจของผมได้เลย ผมคิดถึงหัวใจน้อยๆ ที่แสนบริสุทธิ์ของเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยู่แสนไกล อยากกลับไปกอดให้ความอบอุ่น ไม่อยากให้เค้ามีจิตใจที่เปลี่ยวเหงา หนาวเหน็บหนาวเหน็บเหมือนผมในตอนนี้......
...หนาวเหน็บ เจ็บนัก คราบน้ำตานอง
คอยหน่อย ปีกรักหักยังประคอง
ถลาครรลองเส้นทางสายเก่า
เจ็บปวดนัก ความรักให้โลกเรืองรอง
กับตอบสนอง ให้เห็นเพียงเส้นทางเศร้า...
(คำกลอนคัดลอกมาจากบทเพลงของ น้าหมู และมาลีฮวนน่า)
__________________________________________________