วันนี้ผม และครอบครัวตั้งใจกันว่าจะไปหาต้นไม้แปลกๆ ที่เป็นต้นไม้ท้องถิ่นของเมืองกาญจนฯ ที่ตลาดกลางการเกษตรของเมืองกาญจนฯ เอามาไว้ปลูกกัน พวกเราทั้ง 5 ชีวิต  2 คน กับเจ้าตัวยุ่ง อีก 3 ตัว ออกเดินทางกันค่อนข้างสาย เพราะว่าไม่มีเรื่องต้องให้รีบร้อนอะไรมากมาย....ถึงเมืองกาญจนฯ ก็บ่ายๆ อากาศร้อนอบอ้าวมาก ทั้งๆ ที่เมฆก็มาก ลักษณะอากาศแบบนี้ จากที่เคยที่เรียนวิชาอุตุนิยมวิทยามาในสมัยเรียน และจากที่ย่าเคยสอยสมัยเด็กๆ พอจะคาดเดาได้ว่าวันนี้ฝนตกแหง๋! ...เดินดูต้นไม้กันอยู่พักนึง ค่อนข้างผิดหวังครับ ดีที่เตรียมใจกันไว้ก่อนหน้านี้  ต้นไม้ส่วนใหญ่ผมว่าคงรับไปจากตลาด jj นั่นเอง และแน่นอนแพงกว่า...หมดหวังจากต้นไม้ที่ตลาดกลางการเกษตร เราก็ขับรถบ่ายหน้าไปตามเส้นทางไป อ.ศรีสวัสดิ์ แวะร้านขายต้นไม้ไปกันเรื่อยๆ แต่ก็เหมือนเดิมครับ
ขับรถจนเลยเขื่อนท่าทุ่งนาไปสักเล็กน้อย แฟนผมตาไวเหลือบไปเห็นป้ายเล็กๆ อยู่ทางขวามือบอกว่าไป "น้ำตกโปร่งฟ้า"   2 ก.ม. ดูป้ายแล้วที่นี่เค้าคงไม่คิดจะเน้นให้เป็นที่ท่องเที่ยวมากนัก อย่างนี้ซิครับเราชอบ ยิ่งบูมมากธรรมชาติก็ยับเยินมาก เราจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปกัน ยังไม่เย็นย่ำมากนัก พอมีเวลาที่จะเข้าไปชมความงามของ "น้ำตกโปร่งฟ้า" กัน...ทางที่เข้าไปตัวน้ำตกเป็นทางลูกรัง ไม่ลำบากอะไร พักเดียวก็ถึงชุมชนเล็กๆ มีกันอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน สงบเงียบมองดูชีวิตแล้วน่าอิจฉา ผ่านฝายกันน้ำไปอีกนิดก็ถึงลานจอดรถเล็กๆ ทำแบบง่ายแค่ไถดินไว้พอให้เรียบ จากที่จอดรถก็มีทางเดินเล็กๆ ไปน้ำตก ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีม้านั่ง หรือศาลาไว้ให้นั่งพัก ผมว่าดีนะครับถ้าสะดวกสบายมากผู้คนก็จะแห่กันมา  มากๆ เข้าก็หมดความสงบเหมือนกับที่อื่นๆ   ชาวบ้านที่นี่ใช้น้ำประปาจากน้ำตก
ซึ่งท่อประปาอาจจะดูเกะกะไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าที่จะขัดหู ขัดตาอะไร มันเป็นวิถีชีวิตที่ต้องพัฒนาเพื่อความสะดวกสบายของชาวบ้านเค้าบ้าง พวกเราทั้ง 5 ชีวิต เดินผ่านป่าที่ค่อนข้างมืดครึ้มเนื่องจากต้นไม้ใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ไว้ค่อนข้างมาก       ...เดินข้ามลำธารเล็กๆ มีน้ำอยู่เล็กน้อย นี่ขนาดฤดูฝนนะนี่! ทำให้เราไม่คาดหวังกับความงามของน้ำตกมากนัก เราเจอเด็กๆ ชาวบ้านละแวกนั้นถามไถ่แล้วได้ความว่าถ้าเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะเห็นน้ำมากเอง ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ปลงครับ ถึงอย่างไรวันนี้เราคงไปไหนไม่ได้ไกล เพราะเมฆฝนเริ่มตั้งเค้าใกล้เข้ามาทุกที... เดินไปแค่ประมาณ 200 เมตร เราก็เห็นหน้าผาเล็กๆ มีน้ำไหลรินลงมาพอให้เห็นน้ำ นี่ถ้าน้ำมากคงสวยงามไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่เห็นสายน้ำที่ไหลโครมคราม แต่สิ่งที่ทำเอาผมผมตะลึงไปชั่วขณะคือ เฟิน ครับ จะเรียกได้ว่าเป็นดงเฟินเลยก็ว่าได้ ตามโขดหินก็มีมอสสีเขียวเกาะอยู่เต็มไปหมด โขดหินบ้างก้อนก็มีเฟินขึ้นอยู่กับมอส เห็นแล้วชื่นตา ฉ่ำใจดีจริงๆ บริเวณใกล้ๆ ที่น้ำตกไหลลงมามีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ติดกับหน้าผา ซึ่งที่หน้าผานั้นเต็มไปด้วยเฟินหลากหลายชนิด  แค่จุดที่ผมยืนอยู่นั้นมองไปรอบๆ ตัวก็เห็นอยู่หลายชนิด ที่มองเห็นใกล้ตาที่สุดก็มี กูดกะดูจิงแพะ มีทั้งต้นเล็ก-ใหญ่หลายขนาด  กนกนารี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าตีนตุ๊กแก ขนคางพญานาค ...เอาละซิครับชักเริ่มสนุกแล้ว ขนาดเพิ่มเริ่มเดินยังมีมากมายขนาดนี้ ถ้าเดินเข้าไปลึกมากกว่านี้จะมีมากขนาดไหน...ผมรู้ว่าเวลาของเรามีไม่มากนัก เพราะตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ลมเริ่มพัดแรงมากขึ้น เลยต้องรีบเดินให้เร็วขึ้น ..ที่ชั้นน้ำตกเล็กๆ ม ีเฟินก้านดำ Patticoate ที่ดูเหมือนจะเป็นก้านดำใบเล็ก แต่ไม่ใช่ใบใหญ่กว่า และรอยหยักก็ลึกกว่า ขึ้นอยู่เต็มไปหมด ทั้งตามพื้นดิน และโขดหิน  เมื่อโดนลมพัดก็พลิวไหวสวยงามมาก ผมปีนชั้นน้ำตกเล็กๆ ผ่านดงเฟินก้านดำขึ้นไป เจ้าตัวเล็กทั้งสามก็ตามไปติดๆ พอขึ้นไปได้ ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัวอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงตูมเล็กๆ เจ้าไมโล โดดตูม! ไปเลยครับ เจ้ามะเหมี่ยวลูกสาวสุดโปรดของแฟนผมก็ไม่น้อยหน้าโดดตามไปติดๆ เจ้ามอมแมมซึ่งอายุน้อย แต่ตัวใหญ่กว่าเพื่อนก็เดินลุยลงไปหน้าตาเฉยจอมแอ็คทีฟแต่เซ่อซ่าเห็นแอ่งน้ำที่มีสาหร่ายขึ้นอยู่มันคงนึกว่าเป็นหญ้า
ผมอยากจะโมโหกับความเซ่อซ่าของเจ้าสามตัว แต่เฟินที่อยู่รอบๆ ตัวทำให้ผมต้อง
เลิกสนใจพวกเจ้าตัวยุ่งไปโดยปริยาย ใกล้ๆ ที่ผมยืนอยู่นั้นมี เฟินก้านดำสีชมพู ซึ่ง
เป็นเฟินก้านดำ 1 ใน 10 กว่าชนิดของเมืองไทยกำลังงอกใบอ่อนสีชมพูจัด
จ้านอย่างที่ผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย ผมได้ลงรูปให้เห็นกันชัดๆ ว่าสีสด
สวยขนาดไหน หลังจากชมเฟินได้ครู่เดียว ป่าก็มืดลงทันใด ลมเริ่มกรรโชกแรง ฝน
ก็เทลงมา พวกเราเลยต้องกลับไปที่รถกันทันที...เสียดายจริงๆ ถ้าฝนไม่ตกคงซะ
ก่อนคงได้เดินเข้าไปได้ลึกกว่านี้ และคงได้เห็นเฟินอื่นๆ อีกมาก ....ถ้ามีโอกาสผมจะ
กลับไปที่นั่นอีกครับ......